นักวิจัยไทยขั้นเทพ จาก วช. ประสบความสำเร็จในการพัฒนาองุ่นไชน์มัสแคทเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย - สำนักข่าวพิมพ์ไทย | www.phimthai.com

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Search This Blog

Saturday, June 15, 2024

นักวิจัยไทยขั้นเทพ จาก วช. ประสบความสำเร็จในการพัฒนาองุ่นไชน์มัสแคทเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย

นำทีมถ่ายทอดวิทยายุทธอบรมแก่เกษตรกร อย่างครบวงจร ฟรี หวังเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ เพิ่มมูลค่าให้แก่เกษตรกรผู้ปลูก
อบรมฟรี ไม่มีที่ไหน จัดเพื่อเกษตรกรแบบไม่มีกั๊ก โดยศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลไม้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวง (อว.) จับมือ สถานความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยนเรศวร อบรมการผลิต องุ่นไชน์มัสแคทเชิงพาณิชย์ โดยมี รศ.ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท นำทีมบรรยายเรื่อง การผลิตองุ่น ไชน์มัสแคทภาคเหนือตอนล่าง พร้อมด้วย ดร.ชินพันธ์ ธนาวุธ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ บรรยายเรื่อง การผลิตองุ่นไชน์มัสแคทเชิงการค้า การผลิตแบบประณีต และ คุณวรเชษฐ์ ขัติยะ บรรยายเรื่องการปลูกองุ่นมืออาชีพจากประสบการณ์โดยตรง เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2567 ที่ห้องประชุม คณะวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยได้รับความสนใจจากเกษตรกรรุ่นใหม่เข้าร่วมอบรมทั้งทางออนไซต์ และออนไลน์ ประมาณ 200 คน
รศ.ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท ผอ.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และแปรรูปผลไม้ (วช.) เปิดเผยว่า องุ่นไชน์มัสแคท ถูกปรับปรุงพันธุ์ตั้งแต่ปี 2531 ที่ญี่ปุ่น ขึ้นทะเบียนพันธุ์ในปี2549 มีลักษณะเด่น ผลกลม ขนาดใหญ่ ผิวสีเขียวอ่อนสวยงาม เนื้อแน่นไม่แตกง่าย กรอบหวาน อร่อย ไม่ฝาด ทนร้อนหนาวได้ดีที่สำคัญรสหวานละมุนลิ้น ปราศจากเมล็ด กลายเป็นองุ่นยอดนิยมราคาแพงตกกิโลกรัมละ 2,000-5,000 บาท จนมีคำเปรียบเปรยว่า คนซื้อไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ซื้อ นิยมมอบเป็นของขวัญล้ำค่า
(วช.) ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาไชน์มัสแคทตั้งแต่ปี 2562 เริ่มจากนำคณะเดินทางไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำเทคนิคการปลูกองุ่นไชน์มัสแคทมาดำเนินการในประเทศไทย โดยทีมงานได้ศึกษาขั้นตอนการดูแลบำรุงรักษาจากประเทศเจ้าของสายพันธุ์มาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย จนกระทั่งได้สูตรสำเร็จตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของสี ลักษณะผล จนสามารถได้ไชน์มัสแคทไร้เมล็ด ทดลองปลูกที่พิษณุโลก,เชียงใหม่,ลำพูน,ลำปาง และตาก ได้ผลเป็นที่น่าพอใจและดีกว่าการผลิตในญี่ปุ่นซึ่งมีผลผลิตปีละครั้ง ขณะที่ประเทศไทยสามารถให้ผลผลิตปีละ 2 ครั้ง จนเป็นกรณีศึกษาทำให้ปัจจุบันญี่ปุ่นมีกฏหมายเข้มข้นห้ามนำพันธุ์พืชออกนอกประเทศ เพราะได้รับบทเรียนจากการที่ประเทศไทยสามารถนำไชน์มัสแคทจากญี่ปุ่นมาปลูกได้ผลดี
รศ.ดร.พีระศักดิ์ฯ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันจากการทดลองปลูกไชน์มัสแคทได้ในหลายพื้นที่ทำให้ทราบปัญหาและมีองค์ความรู้จนมีการจัดอบรมฟรีถ่ายทอดความรู้ในการผลิตไชน์มัสแคทเชิงพาณิชย์ให้แก่ผู้สนใจ โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก (วช.)
รศ.ดร.พีระศักดิ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันจากการทดลองปลูกไซน์มัสแคทได้ในหลายพื้นที่ทำให้ทราบปัญหา และมีองค์ความรู้จนมีการจัดอบรมฟรี ถ่ายทอดความรู้ในการผลิตไซน์มัสแคทเชิงพาณิชย์ให้แก่ผู้สนใจ โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก (วช.) “ข้อดีคือ ไซมัสแคท ให้ผลผลิตเร็ว ใช้เวลาเพียง 8 เดือน ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ แต่จะยากหน่อยในภาคใต้ ขณะนี้มีผู้สนใจปลูกกันแพร่หลายแต่ราคายังแตกต่างกัน ที่เชียงใหม่ขายกิโลกรัมละ1,200 บาท ที่ลำปางขายกิโลกรัมละ 500 บาท และจะต้องพัฒนาในเรื่องของ ขนาด ความกรอบ กลิ่นและรสชาติต่อไป ขอแนะนำว่าพื้นที่เพาะปลูกสำหรับเกษตรกรไม่เกิน 1 งานต่อคน จะได้ผลผลิตตอบแทนปีละ 3 แสนบาท เพียงพอต่อการดูแล ได้ง่าย ทั่วประเทศปลูกไม่เกิน 5,000 ไร่ เพราะเป็นผลไม้ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งในอนาคตข้างหน้าการนำผลไม้พันธุ์ใหม่เข้ามาจากต่างประเทศจะยากขึ้น เช่น ญี่ปุ่นและไต้หวันออกกฎหมายเข้มงวดการนำเข้าออกพืชพันธ์ุมากขึ้น สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ หันมาทำวิจัยพัฒนาผลไม้ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องให้มากขึ้นโดยมีการสนับสนุนทุนวิจัย ระยะ 5 ปี“ 









No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad



Pages