“การแถลงข่าวในวันนี้ ผมขอย้ำว่า ไม่ได้ต้องการให้เกิดความกังวลในหมู่พี่น้องชาวไทยมุสลิมของเราว่า การเดินทางไปแสวงบุญ จะมีการแพร่ระบาดหรือติดเชื้อของโรคดังกล่าวในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพียงแต่เป็นมาตรการป้องกันของรัฐบาล ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแนวคิด "Hajj 5G 5Good" ได้แก่ Good Price (ราคาดี มีคุณภาพ),Good Service (บริการดี),Good Care (เอาใจใส่ดี), Good Health (สุขภาพดี) และ Good Relations (ความสัมพันธ์ดีระหว่างประเทศ) โดยเฉพาะในข้อที่ 4 คือ Good Health หรือ สุขภาพดี นอกจากทีมแพทย์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงสาธารณสุข ที่เราส่งไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้ว เรายังติดตามดูแลสุขภาพของท่านหลังจากเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกด้วย จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และขอขอบคุณทุกหน่วยงานภาครัฐที่ช่วยกันยกระดับความสามารถในการรับมือกับการระบาดของโรคและสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องมุสลิมและประชาชนชาวไทยทุกคน” นายศุภชัยฯ กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ระบบ DDC-Care พัฒนาโดย สวทช. ร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรระบบ Cloud จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นระบบติดตาม ผู้มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ ติดตาม เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ เพื่อรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที“จุดเด่นของแพลตฟอร์ม DDC-Care มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุข โดยสามารถประยุกต์ใช้ป้องกันและเฝ้าระวังโรคอุบัติซ้ำ หรือ โรคติดต่ออันตราย ซึ่งกรมควบคุมโรค นำระบบ DDC-Care ไปใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ในกลุ่มพี่น้องคนไทยเชื้อสายมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน”
นอกจาก DDC-Care แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนาต่อยอดระบบวัคซีนพาสปอร์ต INTERVAC มาสู่ INTERVAC HAJJ สำหรับการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้หวัดใหญ่ และไข้เหลือง ให้กับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยเริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2565 โดยระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ทำการบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ เมื่อมีการนำระบบ INTERVAC มาใช้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลแล้วจะสามารถพิมพ์สมุดเล่มเหลืองได้ทันที พร้อมทั้งใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ QR Code “ความสำเร็จของแพลตฟอร์ม DDC-Care และ ระบบ INTERVAC จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในภาคการดูแลสุขภาพ และสามารถนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อการยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทยทุกคน”ด้าน นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การทำงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ และแนะนำให้ใช้แอปพลิเคชัน DDC-Care ในการรายงานสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผู้ที่อาจจะเสี่ยงเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์สภายหลังจากเดินทางกลับจากการประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง และเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ลดการแพร่กระจายของโรคทั้งในครอบครัวและชุมชน“ทั้งนี้ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้นำระบบ DDC-Care มาใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคเมอร์ส ใน 7 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อบริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ ดังนั้นระบบ DDC-Care จึงถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเฝ้าระวังและรับมือกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว”
No comments:
Post a Comment