ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (ผอ.วช.) กล่าวว่า (วช.) ภายใต้ (อว.) ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการส่งเสริมและสนับสนุนทุนวิจัย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติให้กับประชาชน โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในวงกว้าง จึงได้ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนทุนวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการเตรียมพร้อมในการเผชิญเหตุ รวมถึงการลดความเสี่ยงและผลกระทบในระยะยาว โดยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนของ (วช.) ได้จัดทำและสนับสนุนผลงานวิจัยที่มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดนโยบายและการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศ นอกจากนี้ (วช.) ยังได้สนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยในหลากหลายประเด็นสำคัญ อาทิ การศึกษารูปแบบและลักษณะการเกิดแผ่นดินไหว การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบในเชิงโครงสร้าง การเสริมสร้างความตระหนักรู้และการเตรียมความพร้อมของชุมชน และการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมศาสตราจารย์ ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 14 เมษายน 2568 ใกล้รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ซึ่งเป็นหนึ่งในรอยเลื่อนมีพลังของประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณีได้จัดให้เป็นหนึ่งใน 16 กลุ่มรอยเลื่อนมีพลังที่ควรเฝ้าระวัง โดยมีความยาวประมาณ 150 กิโลเมตร พาดผ่านพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และภูเก็ต ถึงแม้ว่ารอยเลื่อนคลองมะรุ่ยจะจัดเป็นรอยเลื่อนมีพลัง แต่จากข้อมูลทางวิชาการและสถิติการเกิดแผ่นดินไหว พบว่ารอยเลื่อนในภาคใต้มีความถี่ในการเกิดแผ่นดินไหวในระดับต่ำกว่ารอยเลื่อนในภาคเหนือและภาคตะวันตก โดยส่วนใหญ่ตรวจพบเพียงแผ่นดินไหวขนาดเล็กในระดับประมาณ 3.0 รอยเลื่อนคลองมะรุ่ยจึงมีความน่าจะเป็นในการก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับรอยเลื่อนมีพลังอื่น แต่การเตรียมความพร้อมและการออกแบบอาคารให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้กำหนดให้มีมาตรฐานการออกแบบอาคารที่แตกต่างกันไปตามระดับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ประชาชนที่พบความเสียหายของอาคาร ซึ่งโดยทั่วไปควรเป็นเพียงความเสียหายทางสถาปัตยกรรมเท่านั้น ควรปรึกษาหน่วยงานราชการในพื้นที่เพื่อให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเสียหายและประเมินความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารทั้งนี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกและรับฟังข้อมูลข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานทางการที่น่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัย และการเตรียมความพร้อมที่ถูกต้องตามหลักในการรับมือกับภัยแผ่นดินไหว โดย (วช.) จะดำเนินการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยใช้ชุดข้อมูลจากงานวิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถของประเทศในการประเมินความเสี่ยง และเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน







No comments:
Post a Comment