ทั้งนี้ อมตะมีรายได้จากการโอนขายที่ดิน (Land Sale)1,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 857 ล้านบาท คิดเป็น 81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการโอนที่ดินรวม 279 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 266 ไร่ และเวียดนาม 13 ไร่ ขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีการโอนที่ดิน 151 ไร่ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 55% ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ Backlog (ณ 31 มีนาคม 2568) อยู่ที่ 21,491 ล้านบาท
สำหรับรายได้จากบริการสาธารณูปโภคอยู่ที่ 1,172 ล้านบาท ลดลง 251 ล้านบาท หรือคิดเป็น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการใช้ไฟฟ้าในเวียดนามที่ชะลอตัว แต่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี ขณะที่รายได้จากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปเติบโตต่อเนื่อง อยู่ที่ 245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21 ล้านบาท พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 77% สะท้อนคุณภาพการให้บริการและความต้องการอย่างต่อเนื่องจากภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีรายได้อื่นๆ ที่เกิดขึ้นราว 61 ล้านบาท“การเติบโตของผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2568 มาจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะยอดโอนขายที่ดินที่ขยายตัวอย่างโดดเด่นจากนิคมฯอมตะซิตี้ ชลบุรี,อมตะซิตี้ ระยอง และนิคมฯ ในเวียดนาม รวมถึงการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของทีมงานที่มุ่งพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน พร้อมต่อยอดรายได้จากสาธารณูปโภคและการให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน” นางสาวเด่นดาวฯ กล่าวด้านนายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรม ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวแข็งแกร่ง แม้การท่องเที่ยวจากจีนจะชะลอตัวจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่าในไตรมาสแรก ปี 2568 มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 822 โครงการ มูลค่ารวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศที่พุ่งทะลุ 260,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นนักลงทุนจากฮ่องกง จีน และสิงคโปร์ สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนแห่งภูมิภาค

1.ภูมิอากาศเมืองแห่งความยืดหยุ่น เพื่อปรับตัวและเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.เมืองคาร์บอนเป็นกลาง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ และ
3.พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
ซึ่งจะสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2573 และก้าวสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ภายในปี 2583 โดยแผนงานหลักประกอบด้วยการจัดการพลังงาน การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การจัดการขยะตามแนวคิด Zero Waste to Landfill และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อต่อยอดการเติบโตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างแท้จริง
No comments:
Post a Comment