
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 18.28 น. : พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เปิดเผยว่า จากนโยบายและข้อสั่งการ ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้นำเทคโนโลยี่สมัยใหม่มาพัฒนาปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าของข้าราชการตำรวจทุกหน่วย เพื่อความรวดเร็ยวฝนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในยุคปัจุบัน ทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ริเริ่มนำเทคโนโลยีกล้อง A.I. ที่เชื่อมต่อข้อมูลบุคคลตามหมายจับกับฐานข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาติดตั้งในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อคัดกรองบุคคลที่เคยกระทำความผิดและมีหมายจับ รวมถึงบุคคลกลุ่มเสี่ยง ป้องกันไม่ให้เข้ามาก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ อันเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวตนได้สั่งการให้เริ่มนำเทคโนโลยีกล้อง A.I. ที่เชื่อมต่อข้อมูลบุคคลตามหมายจับกับฐานข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาติดตั้งในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อคัดกรองบุคคลที่เคยกระทำความผิดและมีหมายจับ รวมถึงบุคคลกลุ่มเสี่ยง ป้องกันไม่ให้เข้ามาก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ อันเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ กล้อง A.I. ที่เชื่อมข้อมูลบุคคลตามหมายจับกับฐานข้อมูลของ บช.ก. ได้แจ้งเตือนว่าตรวจพบบุคคลตามจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 676/2568 ลงวันที่ 21 พ.ค.2568 คือ นายพรพงษ์ พงค์พียะ อายุ 26 ปี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่น,ทำให้เสียทรัพย์ และพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร,ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ” จากการตรวจสอบพบ นายพรพงษ์ฯ และยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และไม่เคยถูกจับในคดีนี้มาก่อน จึงจับกุมตัวนำส่ง สภ.บางบัวทอง ภ.จ.นนทบุรี เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้เริ่มนำระบบกล้อง A.I. มาใช้ในเดือนกรกฎาคม 2567 ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยสามารถจับกุมบุคคลตามหมายจับรายแรกได้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 และจนถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมได้แล้วรวม 180 ราย ประกอบด้วย ชลบุรี (เมืองพัทยา) 102 ราย,เชียงใหม่ 54 ราย,นครราชสีมา 21 ราย และ สมุทรปราการ (สนามบินสุวรรณภูมิ) 3 รายนอกจากนี้ยังได้นำข้อมูลบุคคลกลุ่มเสี่ยง ที่มีพฤติกรรมเป็นกลุ่มแก้งค์ หรือเคยการกระทำความนัในแหล่งท่องเที่ยว เช่น แก้งค์ล้วงกระเป๋าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แก้งค์แลกเงิน เป็นต้น จำนวนกว่า 600 ราย ลงไว้ในฐานข้อมูล หากบุคคลเสี่ยงกลุ่มนี้เข้ามาในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญระบบจะแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเพื่อจะเฝ้าระวัง ตรวจสอบ ติดตามดูพฤติกรรม อันเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลกลุ่มนี้เข้ามาก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวได้ทั้งนี้จะได้ขยายการติดตั้งระบบกล้อง A.I. ดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ เพื่อดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยต่อไป “ผบช.ทท.กล่าว”

No comments:
Post a Comment