ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการได้ระบุว่า ในช่วงปลายปี 2563 บริษัท เมืองไทยแคปปิตอลฯ ได้ถูกประชาชนผู้กู้เงินแจ้งความดําเนินคดีในข้อหาความผิดตามมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ต่อดีเอสไอ และดีเอสไอได้รับดําเนินคดีแล้ว แต่ปรากฏว่า ธปท.ได้ออกประกาศ ที่ สนส. 2/2562 ในช่วงต้นปี 2562 (วันที่ 11 มกราคม 2562) ทําให้ดีเอสไอมีคําสั่งไม่ฟ้องบริษัท เมืองไทยแคปปิตอลฯ โดยอ้างว่า เนื่องจาก ธปท.ออกประกาศ ที่ สนส.2/2562 แล้ว ดีเอสไอจึงไม่สามารถดําเนินคดีกับบริษัท เมืองไทยแคปปิตอลฯ ได้อีก
ซึ่งกรณีดังกล่าวดูเหมือนกับว่า ธปท.ออกประกาศฉบับดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เมืองไทยแคปปิตอลฯ ซึ่งคณะกรรมาธิการการเงินฯ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ 0017.05/4442 ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอแนะให้ยกเลิกประกาศ ธปท.ทั้ง 2 ฉบับ และยกเลิก ปว.58 ไปแล้ว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ยังได้เชิญผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่ปรากฏว่าผู้บริหาร (สคบ.) ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ (สคบ.) มาร่วมประชุมแทน โดยนายพฤฒิชัยฯ ได้ตำหนิว่า การประชุมครั้งที่ผ่านมาได้ตกลงว่า หากเลขาธิการ (สคบ.) ติดภารกิจ ให้มอบหมายรองเลขาฯ ร่วมประชุมแทน จึงขอให้การประชุมครั้งหน้าต้องยึดตามข้อตกลงเดิม โดยที่ประชุมได้หารือถึงการออกประกาศ (สคบ.) เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญา อาศัยอำนาจตามมาตรา 35 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ซึ่งได้ประกาศไปเมื่อปี 2565 ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 23 ต่อปี ส่งผลให้ประชาชนผู้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูง และยังเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยต่อกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีจึงขอให้ (สคบ.) เร่งทบทวนแก้ไขประกาศที่ไม่เป็นธรรม และเอาเปรียบประชาชนผู้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ที่มีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน การออกประกาศของ (สคบ.) จึงไม่ใช่การคุ้มครองผู้บริโภค หากแต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการมากกว่า ซึ่งนายพฤฒิชัยเรียกร้องให้ สคบ.เร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินการ อนุกรรมาธิการฯ ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะนำเรื่องไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับเรื่องที่น่าสนใจและจะมีการประชุมอนุกรรมาธิการฯ ในสัปดาห์หน้า คือกรณีการจัดซื้อจัดจ้างก้นกรองบุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทย มีราคาสูงกว่าราคาตลาด โดยมีลักษณะของการล็อกสเปกผูกขาดให้กับเอกชนผู้นำเข้าก้นกรองบุหรี่ ซึ่งที่ผ่านมาอนุกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลต่อคณะอนุกรรมาธิการ
โดยในที่ประชุมได้มีการเสนอแนะผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ทำหนังสือปรึกษาหารือกับทางสำนักงาน ป.ป.ช. กรณีที่ต้องซื้อกรองบุหรี่จากผู้ประมูลภายในประเทศ ทำให้มองว่าเป็นสัญญาผูกขาด เพราะพิจารณาไปแล้วผู้ประมูลจัดซื้อก้นกรองมาในราคา 200 ล้านบาท แต่มาขายให้กับการยาสูบแห่งประเทศไทยในราคา 350 ล้านบาท ถือว่ามีราคาแพงเกินไป ทำให้รัฐต้องเสียเงินเปล่าประโยชน์ไป 150 กว่าล้านบาท ควรที่จะให้ ป.ป.ช.เสนอแนวทางออก โดยขออนุญาตซื้อจากต่างประเทศซึ่งต้นทุนจะถูกกว่า และสามารถสร้างผลกำไรให้กับทางการยาสูบแห่งประเทศไทยอีกด้วย
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้กำชับให้ผู้ว่าการการยาสูบฯ ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน ที่สำคัญ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ไม่ได้ห้ามไม่ให้การยาสูบฯ ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับต่างชาติ หากมีการจัดซื้อจัดจ้าง 2 ครั้งต่อปี จะทำให้ลดเงินไปถึง 200-300 ล้านบาท จึงควรเสนอเรื่องไปถึง ป.ป.ช. เพื่อเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาประมูล ซึ่งจะส่งผลให้ก้นกรองยาสูบมีราคาถูกลง
No comments:
Post a Comment