"ร.ท.หญิง" ตัดพ้อทนทุกข์มา 6 ปี อยู่แบบเป็นทาสและนางบำเรอ เวลา "พล.ท." ไม่พอใจจะทำร้ายร่างกายตลอด หลังขอแยกทาง "พล.ท." ทวงคืนคอนโดฯ 4 ห้อง โอนให้หมดแล้วเพื่อขอชีวิตคืน แต่ไม่จบ ยังบุกไปห้องพักที่แฟลตตามคุกคามพังประตูห้อง หยอดกาวรถยนต์ ทำทรัพย์สินเสียหาย "ร.ท.หญิง" แจ้งตำรวจ สน.เตาปูน มาช่วยระงับเหตุ กลับเตะ "ร.ท.หญิง" ต่อหน้าตำรวจ ซ้ำกระชากกล้องของตำรวจขณะระงับเหตุ และยังอ้างรู้จักตำรวจใหญ่ ซึ่งตำรวจนายสิบที่ถูกกระทำได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สน.เตาปูน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย หนูต้องการความเป็นธรรมและขอชีวิตหนูคืน จึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ หลังรับเรื่อง "ปวีณา" ประสาน พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7,พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร ผกก.สน.บางพลัด นัดหมายวันที่ 26 ธ.ค.2568 เวลา 14.00 น. เพื่อพา "ร.ท.หญิง" เดินทางไปที่สน.บางพลัด เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการไล่ภาพเส้นทางวันเกิดเหตุ และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามความคืบหน้าคดีนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ต่อมาเวลา 13.00 น. ที่สน.บางพลัด นางปวีณา พา "ร.ท.หญิง" เดินทางมาถึงและได้เข้าร่วมประชุมกับ พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7,พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร สน.บางพลัด ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำ "ร.ท.หญิง" อย่างละเอียดนางปวีณาฯ กล่าวว่า วันนี้ได้ประสาน พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7,พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร สน.บางพลัด เพื่อพาผู้เสียหายมาพบเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อุกอาจ ขอให้ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต้องเคารพสิทธิ์ความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมอยู่แล้ว โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้ามาดูแลน้อง ร่วมกับมูลนิธิปวีณาฯ และประสานกระทรวงยุติธรรม ช่วยคุ้มครองพยาาหากมีการข่มขู่คุกคามผู้เสียหายดัานพล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. กล่าวว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. มอบหมายให้ตนมาดำเนินการในคดีนี้ หลังรับเรื่องได้สั่งการให้มีการสอบสวนรวมรวม พยานหลักฐานและวัตถุพยานดำเนินการให้เร็วที่สุด ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายตำรวจทำไปทำพยานหลักฐาน หากใครมีส่วนเกี่ยวข้อง กระทำความผิดจะโดนแจ้งข้อกล่าวหาหมดทุกคนต่อมาพล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7 กล่าวว่า ได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ทำงานเต็มที่ ทั้งเรื่องพยานหลักฐานและวัตถุพยาน ทำครบทุกกระบวนการและจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ตอนนี้รวบรวมพยานหลักฐานได้พอสมควรแล้ว ยังเหลือพิสูจน์ทราบคำให้การของน้องผู้เสียหาย"ร.ท.หญิง" กล่าวว่า ตอนปี 2563 หนูยังเป็นนักศึกษาชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ครอบครัวฐานะยากจน หนูต้องเลี้ยงดูย่า หนูจึงต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ช่วงกลางวันและตอนเย็นหนูจะไปรับจ้างยืนแจกขนมตามสถานีรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้า วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะทำงานร้านอาหารและได้พบกับ "พล.ท." ที่มาทานอาหารกับกลุ่มเพื่อน หนูไปทำหน้าที่แนะนำเครื่องดื่มที่เพิ่งออกใหม่ ซึ่งวันนั้น "พล.ท." ให้ทิปหนูถึง 10,000 บาท หนูตกใจและดีใจมากเพราะว่าเป็นช่วงที่ต้องจ่ายค่าเทอมพอดีเลยคิดว่า "พล.ท." เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เมตตาเด็กหลังจากนั้นเขาก็ให้ลูกน้องมาขอไลน์หนู วันต่อมาเขาไลน์มาชวนหนูไปทานข้าวกับเพื่อนเขาหลายคน หลังจากนั้นเขาก็ได้ไลน์ติดต่อให้หนูไปทานข้าวด้วย 2 ต่อ 2 และซื้อรถเก๋งให้หนู 1 คัน ราคา 2 แสนกว่าบาท จากนั้นเขาก็แอบมีความสัมพันธ์กับหนู เวลาสังสรรค์กับเพื่อนเขาในกรมทหารก็จะให้หนูไปคอยชงเหล้า รับใช้ คอยสั่งการชีวิตหนูทุกอย่าง และหึงหวง ไม่ให้ออกไปไหน ไม่ให้คุยกับผู้ชายหรือแม้กระทั่งเพื่อนที่เป็น LGBTQ+ตลอดเวลาหนูเหมือนนางบำเรอและทาสรับใช้ เวลาอยู่กับเขาก็ต้องทำทุกอย่างคอยเอาใจ ทำความสะอาดห้อง ซักผ้า รีดผ้า ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจก็จะถูกทุบตี เขาจะคอยบังคับให้หนูอยู่ในกรอบ ถ้าจะไปไหนต้องบอกตลอดเวลา ถ้าเขาแชทไลน์มาแล้วไม่อ่านหรืออ่านช้า หรือโทรมาไม่รับสายก็จะถูกด่าว่า "มึงเป็นใคร ทำไมไม่รับสายกู" และเมื่อเจอหน้าก็จะตบตีทำร้ายหนูเคยถูกทำร้ายหลายครั้งจนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว ครั้งแรก วันที่ 22 ธ.ค.2567 หนูไปเที่ยวกับเพื่อนเขาโทรมาหาแต่หนูไม่ได้รับสาย พอกลับมาถึงห้องที่แฟลตทหาร เขาตามมาไขกุญแจเข้ามาทำร้ายเตะ ต่อย จนระบมช้ำไปทั้งตัว หลังจากนั้นเขาก็มา พูดดีด้วยสัญญาจะไม่ทำร้ายอีก และซื้อคอนโดฯ ให้ 1 ห้อง เพื่อเป็นการปลอบใจ แต่เขาก็ผิดคำพูด เวลาไม่พอใจก็ยังทำร้ายทุบตีเหมือนเดิม ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา หนูต้องทนทุกข์ จนหนูทนไม่ไหวขอแยกทางไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยตั้งแต่กลางปี 2568 แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยตามคุกคามหนูเรื่อยมาทั้งจะพังประตูห้อง เอากุญแจมาคล้องประตู หยอดกาวกุญแจประตู และหยอดกาวประตูรถ และจะแชทไลน์มาหาอยู่บ่อยครั้งช่วงเดือน ต.ค.2568 หนูถูกทำร้าย เป็นครั้งที่ 2 สาเหตุเพราะเขาแชทไลน์มาและหนูไม่ได้คุยอย่างต่อเนื่อง ตอบช้าเพราะกำลังทำงานอยู่ เขาก็รีบมาหาที่แฟลตและกระทืบหนูจนช้ำระบมไปทั้งตัว หลังจากนั้นหนูได้ขอเลิกเขาอีกครั้ง โดยมีรองเจ้ากรมทหาร เป็นพยาน เขาบอกว่าถ้าหนูโอนคืนคอนโดฯ ให้เขาแล้วจะเลิกยุ่งกับหนู หนูก็ได้ไปโอนคืนให้เขาไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังตามคุกคามหหนูอยู่เรื่อยมา โดยเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2568 เขามาพังประตูห้องหนู หนูจึงแจ้งตำรวจสน.เตาปูนมาระงับเหตุ เขาโกรธมากที่ทำให้เขาอับอายจึงเตะหนูเข้าที่ขาอย่างแรงต่อหน้าตำรวจ และกระชากกล้องตำรวจพร้อมด่าทอข่มขู่ และยังกร่างอ้างรู้จักตำรวจใหญ่ หลังจากนั้นหนูก็ได้ไปแจ้งความเรื่องที่เขามาคุกคามไว้ที่สน.เตาปูนครั้งที่ 3 วันที่ 21 ธ.ค.2568 เขาโทรมาหาหนูแล้วบอกว่าหย่ากับเมียแล้วจะไปอยู่ต่างประเทศ ขอเจอหนูเป็นครั้งสุดท้ายโดยนัดพบที่ร้านอาหารย่านบางพลัด หนูใจอ่อนและตั้งใจเอาพวงมาลัยไปไหว้ขอขมาจึงเดินทางไปที่ร้านอาหารพร้อมกับน้องสาว ขณะอยู่ที่ร้านอาหารเขาได้ชวนดื่มไวน์ หนูกับน้องดื่มไวน์ไป 2 แก้ว รู้สึกเมาผิดปกติ แล้วเขาก็เอาน้ำที่ก้นแก้วมีสีขาวขุ่นมาให้ดื่มบอกว่าเป็นน้ำวิตามิน เมื่อหนูและน้องสาวดื่มเข้าไปรู้สึกมึนงง เวลาประมาณ 2 ทุ่ม เขาบอกว่ามีของขวัญจะให้หนูให้เดินไปเอาที่ท้ายรถ ซึ่งเป็นรถ SUV เมื่อเปิดประตูท้ายรถขึ้นเขาก็ผลักหนูเข้าไปในรถและเขาก็ขึ้นมาในรถชกต่อยหนูจับกดลงกับพื้นไม่ให้หนูเงยหน้าขึ้นมา ใช้สายรัดเคเบิ้ลไทร์มัดมือหนูทั้ง 2 ข้าง และใช้สก๊อตเทปปิดปากไม่ให้ร้อง ระหว่างนั้นก็เห็นชายสวมหมวก "ไอ้โม่ง" มาขับรถให้เขาก่อนจะพาหนูออกไป ซึ่งหนูถูกจับกดและปิดตาอยู่จึงไม่เห็นทางว่ารถวิ่งไปทางไหนเมื่อไปถึงโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งเขาจะลากหนูลงจากรถ แต่หนูส่งเสียงกรีดร้องจนพนักงานต้อนรับกลัวว่าจะมีปัญหาจึงไม่ยอมเปิดห้องให้ จากนั้นเขาก็พาหนูขึ้นรถจับกดลงกับพื้นอีกครั้งและพาไปที่โรงแรมม่านรูดอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก หนูถูกลากลงจากรถและเข้าไปในห้องโรงแรมม่านรูดจึงรู้ว่า "ไอ้โม่ง" ที่ขับรถให้เขาคือ นายทหารยศ "ร.อ." ที่เป็นลูกน้องของเขา หนูพยายามดื้นรนขัดขืนแต่ถูกเขา 2 คนอุ้มไปที่เตียงนอน "ร.อ." ได้ยกมือไหว้ “พล.ท.” พูดว่า “ขอร้องอย่าทำน้องเขาเลยครับนาย” จากนั้น "พล.ท." ก็ตะคอกใส่บอกกับ "ร.อ." ว่า “มึงอย่ามายุ่ง มึงถอดกางเกงมันเลย และมึงยืนดูด้วย” โดย "ร.อ." ถอดกางเกงหนูแล้วก็ยืนดู จากนั้น "พล.ท." ก็ชกต่อยใบหน้าและลำตัวระบายความโกรธด่าหนูว่า "มึงแจ้งความใช่มั้ย" ก่อนจะลงมือข่มขืนหนูทั้งที่มัดมือหนูอยู่จนสำเร็จความใคร่ หนูเจ็บปวดสุดแสนสาหัส จากนั้นเขาถึงตัดสายรัดที่ข้อมือออก 1 เส้น แต่ยังมีสายรัดอีก 1 เส้นค้างอยู่ที่ข้อมือหนู "พล.ท." ยังข่มขู่หนูอีกว่า "ถ้ามึงแจ้งความ มึงตายแน่"หลังก่อเหตุเสร็จ "พล.ท." และ "ร.อ." ขับรถมาส่งหนูที่ร้านอาหาร น้องสาวเห็นหนูสภาพหนูสะบักสะบอม และหนูของให้ “ร.อ.” ช่วยตัดสายรัดเคเบิ้ลไทร์ที่ค้างอยู่ที่ข้อมืออีกข้างหนึ่งออก ก่อนที่หนูและน้องจะรีบขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกจากร้านเพื่อไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากรู้สึกเจ็บที่ซี่โครงอย่างมาก โดยน้องสาวบอกว่า หลังจากที่หนูออกไปกับ "พล.ท." ก็มีผู้หญิง 2 คนมานั่งคุยด้วยตีสนิทแล้วบอกว่ารู้จัก "พล.ท." หนูมาคิดกับน้องคาดว่า "พล.ท." มีการวางแผนมาอย่างดี นัดให้หนูมาเพื่อพาไปทำร้าย-ข่มขืน และให้หญิงสาวทั้ง 2 คนมานั่งกับน้องเพื่อเป็นการถ่วงเวลาไม่ให้ตามหาหนูคืนนั้นหลังหาหมอเสร็จหนูได้รีบไปแจ้งความที่สน.บางพลัด ทันที ตำรวจส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เมื่อเขารู้ว่าหนูแจ้งความเขาได้โอนเงินมาให้น้องหนู 3 หมื่นบาท บอกเป็นค่ารักษาหนู และโอนมาให้หนูอีก 5 หมื่นบาท บอกให้เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องนอนโรงพยาบาล แต่หนูไม่ต้องการจึงได้โอนเงินคืนไปหมดแล้ว และต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม ขอชีวิตหนูคืน วันอังคารที่ 23 ธ.ค.2568 จึงมาร้องขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือ หนูต้องการจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด






















No comments:
Post a Comment